“จากแสงเลือนลาง สู่แสงที่มืดดับ” จังหวัดกระบี่
คนพิการ

“จากแสงเลือนลาง สู่แสงที่มืดดับ” จังหวัดกระบี่

นางไหม อาศัยอยู่บ้านท่าคลอง หมู่ที่9 ตำบลเกาะกลาง อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ สัญชาติไทย เชื้อชาติไทยนับถือศาสนาอิสลาม เกิดวันที่ 9 มีนาคม 2486 ปัจจุบันอายุ 80 ปี

“ จากแสงเลือนลาง สู่แสงที่มืดดับ ” จังหวัดกระบี่

นางไหม (นามสมมุติ) อาศัยอยู่บ้านท่าคลอง หมู่ที่9 ตำบลเกาะกลาง อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ สัญชาติไทย เชื้อชาติไทยนับถือศาสนาอิสลาม เกิดวันที่ 9 มีนาคม 2486  ปัจจุบันอายุ 80 ปี เคยมี สามี 2 คน สามีคนแรกมีลูก 2 คน ชาย 1 คน หญิง 1 คน สามีคนที่ 2 มีลูกทั้งหมด 10 คน ชาย 5 คน หญิง 5 คน 

ด้วยความชราสายตาฝ่าฟางมองไม่เห็นจนปัจจุบันมีความพิการเกิดจากการเป็นต้อกระจกเคยได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลกระบี่แต่ด้วยอาการแทรกซ้อน ทำให้ไม่สามารถได้รับการรักษาให้หายได้เลยทำให้ต้อกระจกลุกล่ามจนไม่สามารถมองเห็นได้ อีกทั้งสามีนางไหมซึ่งเป็นคนที่ต้องดูแลเองก็มีอายุมากแล้ว มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน หอบหืด และหูตึงด้วย 

 

มีอาชีพที่ไม่แน่นอน เช่น อาชีพวางลอบจับปูที่บางครั้ง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางวันต้องไปรับจ้างตามกำลังที่พอจะทำได้เพื่อให้มีรายได้ที่พอประทังชีวิตอยู่ไปวันวัน นางไหมไม่ค่อยได้รับการดูแลจากลูกๆมากนักเพราะส่วนใหญ่ไปมีครอบครัวและออกไปทำงานข้างนอกกันหมด นานๆครั้งกว่าจะได้กลับมาบ้าน อีกทั้งนางไหมเองก็มีลูกชายที่ป่วยจิตเวช ที่ยังต้องเลี้ยงดูอีกคนหนึ่งด้วย ลูกชายต้องไปรับยาที่โรงพยาบาลกระบี่ตามหมอนัดทุกเดือนซึ่งไปบ้าง ไม่ไปบ้างเพราะการไปหาหมอแต่ละครั้งต้องมีค่าใช้จ่ายลำพังบางวันแม้นแต่อาหารจะกินแต่ละมื้อก็ลำบากอยู่แล้ว

โชคชะตาของคนเราแม้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อชะตาลิขิต นี้คือบททดสอบที่โหดร้ายแต่เราต้องอยู่ให้ได้เปรียบเสมือนบททดสอบที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา บททดสอบที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงวัยที่เราเติบโต ทุกย่างก้าวของความก้าวหน้ามักจะต้องมีสิ่งที่คอยมาวัดว่าเราจะสามารถผ่านพ้นบททดสอบนี้ไปได้อย่างไรบางครั้งมันอาจจะต้องใช้ทั้งความพยายามและความอดทนที่อาจมองไม่เห็นอนาคตก็ตาม

จากการลงสำรวจพื้นที่ของคณะทำงานในครั้งนี้ได้เจอกับครอบครัว นางไหม มาดชาย ทำให้ทีมงานคณะทำงานสำรวจได้เห็นและทราบถึงความลำบากของครอบครัวนี้เป็นอย่างยิ่งและทำให้เห็นว่าต่อให้เหตุการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนแต่ในครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต นางไหม มาดชาย ประสบปัญหาตาบอดเนื่องจากเป็นโรคต่างๆเข้ามารุมเร้าและไม่สามารถที่จะรักษาได้ทันท่วงที เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางไหม เป็นคนพิการติดเตียงไม่สามารถไปไหนต้องอยู่ภายในบ้านโดยมีลูกชายที่ป่วยจิตเวช ซึ่งเป็นผู้ดูแลทั้งพ่อและแม่ ครอบครัวนี้ถือเป็นครอบครัวที่มีความลำบากเป็นอย่างมาก มีผู้ป่วยทั้งหมดในบ้านและคนที่เป็นคนดูแลผู้ป่วยติดเตียงก็คือบุตรชายที่มีเป็นโรคจิตเวชอยู่แล้ว ลูกชายคนนี้จะมีหน้าที่ในการจัดการหาอาหารและนำอาหารจากบ้านใกล้เคียงมาให้ผู้เป็นแม่ของเขาได้กินมีหน้าที่ในการอาบน้ำให้กับแม่เขาซึ่งบางครั้งผู้ชายคนนี้ก็มีอาการทางจิตเวชกำเริบ เช่นการเดินคนเดียว  การพูดคนเดียว และลูกชายคนนี้ก็ไม่สามารถที่จะขาดยาได้เลย แต่ต่อให้เขาจะป่วยหนักเพียงแค่ไหนความเป็นลูกก็ยังเป็นลูก เขาดูแลพ่อและแม่ของเขาดูแลหาอาหารให้กับพ่อแม่ของเขาให้พอประทังชีวิตอยู่ได้ 

นี่คือสิ่งที่ผู้ที่ทีมงานคณะทำงานลงไปสำรวจเห็นถึงความยากลำบากและประทับใจในเหตุการณ์ในครั้งนี้ยังมีคนที่ลำบากอีกมากมายยังมีคนป่วยบนโลกนี้อีกมากมายที่รอความหวังและนี่คือ 1 ครอบครัวที่รู้สึกประทับใจที่สุดที่ได้ความรักที่แม่มีต่อลูกและลูกมีต่อแม่แม้นลูกที่เหลืออีกหลายคนที่ต้องออกจากบ้านเพื่อทำงานเลี้ยงครอบครั้วตัวเองแม่ไม่โทษลูก แม่เข้าใจลูก ขอให้ลูกอยู่สบายแม่อยู่ได้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่มีพี่น้องข้างๆบ้านที่ยังอาศัยอยู่บริเวณนั้นบ้าง ช่วยกันให้ข้าวให้น้ำเสมอ และในขณะนี้สามีนางไหมเอง ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพที่เคยทำอยู่ได้อีกต่อไป จะเพราะสามีของเขาต้องไปรักษาโรคต้อกระจกที่ตา ทำให้ขณะนี้ไม่สามารถที่จะทำงานให้มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวตอนนี้รายได้ของครอบครัวของเขานั้นจึงมาจากเงินช่วยเหลือของรัฐนั้นก็คือเงินสวัสดิ์การผู้สูงอายุ



คณะทำงานพวกเราได้ทำลงการสำรวจทั้งหมด 100 คน ในการสำรวจทำให้เราเห็นถึงความหลากหลายของความยากลำบากบางคนพิการ บางคนเป็นผู้สูงวัยที่อยู่โดยลำพัง บางคนเป็นเด็กที่โดนทอดทิ้งได้เจอเหตุการณ์อะไรมากมายที่เข้ามา บางคนเป็นโรคซึมเศร้าจากเรื่องราวข้างต้นทำให้พวกเรารับทราบถึงสภาพปัญหาของสังคมที่มีหลากหลายมิติที่ขอคอยการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ฉะนั้นก็จะสะท้อนการเขียนเรียงความในบทนี้คาดหวังว่าจากเรื่องราวทั้งหมดจะต้องสื่อสารให้เห็นถึงปัญหาของสังคม ณ ปัจจุบันนี้ จะแก้ไขปัญหาสังคมให้ได้ ณ. ตอนนี้โดยไม่ต้องรอใคร คือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันการเป็นที่พึ่งให้กันและกันการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีการแบ่งปันมีการช่วยเหลือกันนี่ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่สังคมต้องการ นอกจากการรอคอยจากรัฐบาลที่จะมาช่วยเหลือเชิงนโยบายต่อไป

ความประทับใจยังมีอีกหลายคนที่เราได้ลงไปและนอกจากนั้นเองพวกเราคณะทำงานเองได้รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนช่วยเหลือคนลำบาก พวกเราจะเป็นกระบอกเสียงบอกต่อเพื่อจะได้ช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ต่อไป


เรียบเรียงโดย ทีมงาน ศูนย์ประสานงานภาคีพัฒนาจังหวัดกระบี่

และสมาคมสานพลังเครือข่ายพัฒนาสังคมสุขภาวะ จังหวัดกระบี่

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor